หนึ่งในประติมากรรมทางพุทธศาสนาสมัยทวาราวดีที่สำคัญซึ่งพบที่จังหวัดนครปฐมนั้น
คือ พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงโดยประมาณ ๓.๒ – ๔ เมตร
ประทับนั่งบนบัลลังก์ ห้อยพระบาททั้งสองบนฐานกลีบบัว เป็นปางทรงแสดงธรรม
(วิตรรกมุทรา) พระพุทธรูปศิลาที่พบมีทั้งสิ้น ๕ องค์ โดยพระพุทธรูปนั่ง ๔ องค์
นั้นเป็นศิลาขาว ส่วนอีก ๑ องค์ ซึ่งมีความแตกต่างจากทั้ง ๔ องค์
ทำจากศิลาเขียว
พระพุทธรูปทั้ง ๕ องค์ มีการเคลื่อนย้ายจากพุทธสถานเดิม ไปประดิษฐานตามที่ต่างๆ
กล่าวคือ คือ ที่นครปฐม ประดิษฐาน ณ พระปฐมเจดีย์ ๒ องค์ ที่กรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ๑ องค์ ที่พระนครศรีอยุธยา ประดิษฐาน ณ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ๑ องค์ และในวิหารน้อย วัดหน้าพระเมรุ
ซึ่งเป็นพระศิลาเขียว อีก ๑ องค์ ในบทความนี้ จะได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมา
ของพระพุทธรูปศิลาขาวซึ่งเป็นองค์พระประธานในอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์
ที่จังหวัดนครปฐมเป็นลำดับแรก
พระประธานศิลาขาวในโบสถ์พระปฐมเจดีย์...เดิมทีอยู่ในวัดร้าง
องค์พระประธานศิลาขาวในพระอุโบสถพระปฐมเจดีย์นั้น
เดิมมีการพบและอัญเชิญท่านมาจากพุทธสถานร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม
ดังพบข้อความที่มีความแตกต่างกันในการกล่าวถึงประวัติการพบองค์พระพุทธรูป
ปรากฎในหน้า ๒-๕ ของหนังสือเรื่อง “พระพุทธรูปศิลาขาว
สมัยทวารวดี” เรียบเรียงโดย ธนิต อยู่โพธิ์ (อธิบดีกรมศิลปากรขณะนั้น)
โดยหนังสือดังกล่าวจัดพิมพ์ขึ้นในโอกาส ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตติขจร
(นายกรัฐมนตรีขณะนั้น) มาทำพิธีเปิดป้ายพระนามพระพุทธรูปศิลาขาว องค์ที่ประดิษฐาน ณ
ลานชั้นลดด้านใต้ และวางศิลาฤกษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
ซึ่งตั้งอยู่ในทิสเดียวกัน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ หนังสือดังกล่าว
ได้กล่าวถึงประวัติการพบองค์พระพุทธรูปเป็น ๒ นัย คือ
นัยตามคำบอกเล่าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และ
อีกนัยเป็นประวัติสังเขปซึ่งพระธรรมวโรดม (โชติ)
อดีตเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ได้บันทึกไว้
ผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อความตามนัยทั้ง ๒ จากหนังสือที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม คือ
“เล่าเรื่องไปชวาครั้งที่ ๓” จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ และ
“เรื่องพระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่
และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์” จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๘
จึงขอยกข้อความจากหนังสือทั้ง ๒ เรื่องนี้ มาเพื่อพิจารณา กล่าวคือ
พระศิลาขาว...คำบอกเล่าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ
ประวัติพระศิลาขาวซึ่ง สมเด็จฯ ตรัสเล่าไว้ตามที่ธนิต อยู่โพธิ์
ยกมากล่าวในหนังสือเรื่อง “พระพุทธรูปศิลาขาว สมัยทวารวดี”
เมื่อตรวจสอบจากหนังสือเรื่อง “เล่าเรื่องไปชวาครั้งที่
๓” ฉบับพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ (เหลือ)
ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ และหม่อมลำดวน (วสันตสิงห์) เมื่อ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๓ หน้า
๒๘-๓๐ มีความหลักต้องตรงกัน
แต่รายละเอียดปลีกย่อยและสะกดคำบางแห่งต่างกันเล็กน้อย
ในที่นี้จะยึดคำและความตามหนังสือ“เล่าเรื่องไปชวาครั้งที่
๓” ดังนี้
“เมื่อดูพระพุทธรูปที่เมนดุ๊ต คิดเห็นข้อสำคัญในเรื่องโบราณคดีขึ้นข้อหนึ่ง
น่าจะจดลงไว้ตรงนี้ด้วย
คือพระพุทธรูปห้อยพระบาททำด้วยศิลาขนาดนี้ไม่ปรากฏว่ามีในเมืองพะม่า มอญ เขมรเลย
ในชะวาก็มีแต่องค์เดียว แต่ไปมีในประเทศสยามถึง ๔ องค์
ตรวจได้หลักฐานว่าเดิมมีพระเจดีย์โบราณองค์หนึ่งในตำบลพระปฐมเจดีย์
(อยู่ในบริเวณสวนนันทอุทยาน ของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ) ชาวบ้านเรียกกันมาแต่ก่อนว่า
“พระเมรุ” องค์พระเจดีย์เดิมรูปร่างจะเป็นอย่างไรรู้ไม่ได้ ด้วยหักพังเสียหมดแล้ว
รู้ได้แต่ว่ามีพระพุทธรูปศิลาเช่นว่า ตั้งไว้ที่มุขพระเจดีย์นั้นด้านละองค์ องค์ ๑
เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาย้ายเอาไปไว้ที่วัดมหาธาตุในพระนคร*
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ ๓ พระยาชัยวิชิต (เผือก)
เชิญมาไว้ที่วัดหน้าพระเมรุจนบัดนี้ เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ขุดพบศิลาทับหลังเรือนแก้วที่ “พระเมรุ”
จึงรู้ว่าพระพุทธรูปองค์วัดหน้าพระเมรุนั้นเดิมอยู่ที่พระปฐมเจดีย์
อีกองค์หนึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ขุดพบที่ “พระเมรุ” เหมือนกัน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้ตั้งเป็นพระประธานอยู่ที่ในพระอุโบสถพระปฐมเจดีย์จนบัดนี้ อีก ๒
องค์ก็ขุดพบที่ “พระเมรุ” ในสมัยเมื่อข้าพเจ้าจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานที่พระปฐมเจดีย์
แต่เหลืออยู่เป็นชิ้นๆ ไม่บริบูรณ์
ยังรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานพระปฐมเจดีย์จนบัดนี้ น่าสันนิษฐานว่าพระพุทธรูปทั้ง ๕
องค์นั้นจะสร้างในสมัยเดียวกันเมื่อราว พ.ศ.๑๔๐๐
ตามแบบครั้งราชวงศ์คุปตะครองมัชฌิมประเทศ
และการถือพระพุทธสาสนาจะเป็นอย่างมหายานด้วยกัน
ทั้งที่ในชะวาและประเทศสยามนี้”
*หมายเหตุ คำว่า
พระนคร ในหนังสือเรื่อง “พระพุทธรูปศิลาขาว
สมัยทวารวดี” มีวงเล็บคำ (ศรีอยุธยา) ต่อท้าย
ให้ทราบว่าเป็นพระนครศรีอยุธยา
พระศิลาขาว...บันทึกประวัติ ของพระธรรมวโรดม (โชติ)
พระธรรมวโรดม (ธมฺมปฺปชฺโชติโก โชติ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ (ดำรงตำแหน่ง
๒๔๖๕-๒๔๙๗) ได้บันทึกเรื่อง “ประวัติสังเขป
พระพุทธรูปศิลาปางปฐมเทศนาที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถนี้”
เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
ในคราวเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้ากฐิน ณ พระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.
๒๔๙๗ โดยผู้เขียนได้คัดลอกข้อความจาก หนังสือ “เรื่องพระปฐมเจดีย์
กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ และการบูรณะและปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์” หน้า
๑๕๕-๑๕๖ ซึ่งจัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมสิริชัย (ชิต
ชิตวิปุลเถร) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘
ซึ่งท้ายเรื่องดังกล่าว มีหมายเหตุแจ้งที่มาของบันทึกประวัตินี้ว่า
ได้รับเอกสารมาจากพระธรรมสิริชัย (ชิตวิปุโล ชิต) ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น
(ดำรงตำแหน่ง ๒๔๙๗-๒๕๒๗) มีความดังนี้
“ท่านพระปลัดทอง พระอธิการวัดกลางบางแก้ว (วัดคงคา)
ได้มาเห็นวัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเวลานั้นว่างเจ้าอาวาส กุฏิเสนาสนะชำรุดมาก
ท่านจึงพร้อมกับสามเณรบุญ (ภายหลังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระพุทธวิถีนายก
ตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว) ผู้เป็นศิษย์
ได้มาช่วยบอกบุญขอแรงชาวบ้านตำบลพระปฐม ไปขนอิฐที่วัดทุ่งพระเมรุ
(ครั้นมาในรัชกาลที่ ๖ พระราชทานนามวัดทุ่งพระเมรุใหม่ว่า สวนนันทอุทธยาน)
เพื่อมาใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์ในบริเวณพระปฐมเจดีย์
ได้เห็นจอมปลวกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณโบราณสถานที่นั้น
และได้เห็นพระเกตุมาลาโผล่ที่ยอดจอมปลวก จึงช่วยกันทำลายจอมปลวกนั้นออกแล้ว
ปรากฏเป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ มีรอยต่อเป็นท่อนๆ จึงถอดตามรอยต่อนั้นออก
แล้วนำมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์นี้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๔ (ปลายรัชกาลที่
๔) ก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชสมบัติ ๗ ปี นับถึง
พ.ศ.ปัจจุบันนี้ได้ ๙๓ ปี*”
*หมายเหตุ
นับถึง พ.ศ.ปัจจุบันนี้ได้ ๙๓ ปี
หมายถึง นับแต่ พ.ศ.๒๔๐๔-๒๔๙๗
ที่อัญเชิญพระศิลาขาวมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถสมัย ร.๔ ทั้งนี้
มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการสร้างพระอุโบสถในรัชสมัยของพระองค์ จากหนังสือ
เรื่องพระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ฯ หน้า
๑๕๓-๑๕๔ ปรากฎข้อความจาก จดหมายหมายเหตุ ร.๔ จ.ศ. ๑๒๒๔ เลขที่ ๑๒๕ บอกมา ณ วัน ๑
เดือน ๔ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีจอ จัตวาศก (๑๒) ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๕
“เรื่อง ทำรากพระอุโบสถและโรงธรรม” กล่าวว่า
“...บนองค์พระได้ทำรากพระอุโบสถ
รากโรงธรรมที่ก่อฤกษ์แล้วเสร็จทั้งสองหลัง...” ปีในการทำรากพระอุโบสถ พ.ศ.๒๔๐๕
และปีที่ประดิษฐานพระศิลาขาว พ.ศ.๒๔๐๔
เป็นตัวเลขที่มีความคลาดเคลื่อนไม่ลงรอยกัน
พระปลัดทอง ส่องนำญาณจากพระศิลา...สู่สามเณรบุญ
ประวัติการพบพระศิลาขาว องค์ประธานในพระอุโบสถพระปฐมเจดีย์นี้
นอกจากความดังยกมากล่าวทั้ง ๒ นัยข้างต้น ผู้เขียนได้พบข้อความจากหนังสือเรื่อง
“หลวงปู่บุญ (พระพุทธวิถีนายก วัดกลางบางแก้ว) เล่ม ๒ :
การสร้างเครื่องรางของขลังและพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ” ซึ่งสุธน ศรีหิรัญ
ผู้แต่งมีพื้นเพเป็นชาว ต.บางกระเบา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และเคยอุปสมบท ณ
วัดกลางบางแก้ว โดยมีพระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญฺญวสโน)
ผู้เป็นศิษย์เอกที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธวิถีนายก (บุญ ขนฺธโชติ)
เป็นพระอุปัชฌาย์
และในการเรียบเรียงหนังสือประวัติหลวงปู่บุญนี้ข้อมูลบางส่วนได้ประมวลจากคำบอกเล่าของหลวงปู่เพิ่ม
และบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ร่วมสมัยกับหลวงปู่บุญ
โดยเนื้อหาที่ปรากฎเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปศิลาขาวนี้ อยู่ในหัวข้อ
“ภาคกฤดาณุภาพ” หน้า ๑๓๐-๑๓๑
กล่าวถึงในพุทธศักราช ๒๔๐๙
ขณะเมื่อสามเณรบุญ ซึ่งบวชได้ ๓ พรรษาล่วงมา อยู่ในวัย ๑๘ ปี
และได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความเพียร จนล่วงได้วิสุทธิครบ ๗ ประการ คือ
ศีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ทัฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ก่อให้ญานของท่านเข้มแข็งแก่กล้าเป็นที่พอใจแก่พระอาจารย์ผู้ฝึกฝน คือ พระปลัดทอง
พระอธิการวัดคงคาราม (ชื่อเดิมของวัดกลางบางแก้ว)
ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้เจนจบในการวิปัสสนาและขลังด้วยพุทธาคม
โดยพระปลัดทองได้เกิดนิมิต ดังข้อความว่า
“วันเพ็ญเดือนเก้า ปี พ.ศ.๒๔๐๙ นั้นเอง
ท่านอาจารย์พระปลัดทองเกิดนิมิตในญานเห็นว่า อันบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์นั้น
โอภาสงามจรัสด้วยพระบรมสารีริกธาตุสว่างไสว
มีเปลวรัศมีโชติช่วงที่ปลายยอดพระเจดีย์งามยิ่งนัก
ครั้นพิจารณาโดยบริเวณทั่วไปทางด้านเหนือขึ้นไปไม่ไกลกันกับองค์พระปฐมเจดีย์ก็เห็นเป็นรังสีเหลืองแผ่กำจายรุ้งสว่างในอาณาบริเวณสุมทุมพุ่มพฤกษ์
น่าอัศจรรย์
จึงตรวจด้วยญาณให้เห็นแจ่มแจ้งก็ทราบว่าบริเวณนั้นเป็นวัดเก่าแก่ที่ร้างโรยมานานนับหลายร้อยปี
มีแต่ต้นหญ้าต้นไม้ขึ้นปกคลุม ไม่มีผู้ใดรู้หรือสนใจเป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก
เมื่อพิจารณาจิตเป็นสังเวช จึงถอยญาณออกจากสมาธิ
แล้วปรารภเรื่องนี้ให้สามเณรบุญได้ทราบเรื่องที่พบเห็นทางจิต”
สามเณรบุญ พบพระศิลาขาว...ด้วยปิติแห่งญาณ
ภายหลังจากสามเณรบุญฟังเรื่องราว
ได้เกิดความตระหนักอย่างยิ่งในเรื่องวัดร้างที่พระปลัดทองปรารภ
จึงทำสมาธิพิจารณาด้วยญาณและนิมิตเห็นภาพพระพุทธรูปอันงดงามยิ่งด้วยพุทธลักษณะ
ท่านได้พิจารณาจนจิตเกิดประภัสสรด้วยความเยือกเย็นถึงที่สุดจึงถอยญาณออกจากสมาธิ
แต่ภาพอันประทับในความรู้สึกนั้นคงระลึกอยู่มิรู้คลายไม่ว่าท่านจะทำการสิ่งใด
จึงนำความไปเล่าแก่พระปลัดทองเพื่อพิจารณา
เมื่อได้ฟังความจากลูกศิษย์พระอาจารย์จึงกล่าวว่า
ให้พ้นวันข้างแรมไปก่อนจะพาไปยังสถานที่ตามนิมิต
เพื่อดูให้เห็นจริงว่าเรื่องราวที่เกิดในนิมิตนั้นเป็นอย่างไร
ดังนั้นเมื่อล่วงเข้าวันเพ็ญคณะอาจารย์
ศิษย์และผู้ติดตามจึงได้พากันมุ่งหน้าจากวัดคงคารามมายังจุดหมาย ดังข้อความว่า
“ล่วงถึงวันเพ็ญเดือนสิบปี พ.ศ.๒๔๐๙*
พระปลัดทองและสามเณรบุญได้ชวนพระภิกษุและสามเณรอีกหลายรูปเดินทางไปยังจุดนิมิต
ด้านเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์
เมื่อนำพระสงฆ์และสามเณรนมัสการสักการะองค์พระปฐมเจดีย์แล้ว
จึงมุ่งไปยังสถานที่รกร้างปกคลุมด้วยไม้นานาพันธุ์นั้นช่วยกันตัดไม้ดายหญ้าก็พบว่า
มีซากโบราณสถานอยู่จริงดังนิมิต
จึงช่วยกันจัดแจงดายหญ้าตัดต้นไม้ออกเพื่อให้โล่งเตียน ด้านทิศตะวันออกนั้น
สามเณรบุญพบว่า มีจอมปลวกใหญ่อยู่จริงตามที่พบเห็นในญาณ
และที่ปลายจอมปลวกมีศิลาสีขาวปลายแหลมโผล่ออกมา จึงเกิดความปิติยินดี
พาพระปลัดทองอาจารย์ไปดูก็เห็นว่าควรบัตรพลีรื้อเอาจอมปลวกออก
จึงช่วยกันขุดจอมปลวกออก เมื่อจอมปลวกทะลายลงต่างก็อัศจรรย์โดยทั่วกัน
เพราะภายในจอมปลวกมีพระพุทธรูปศิลานั่งห้อยบาท ยกมือประทานพรสีขาวนั่งอยู่
ชำรุดทรุดโทรมในบางส่วน
จึงช่วยกันถอดชิ้นศิลาที่ต่อเป็นองค์นำออกมาจากจอมปลวกแห่งนั้น
พระปลัดทอง พิจารณาเห็นว่าพระพุทธรูปศิลาองค์นี้มีพุทธลักษณ์งดงาม
ศิลปแบบทวารวดีเป็นพระพุทธรูปสำคัญมาแต่โบราณกาล
จึงให้พระภิกษุสามเณรช่วยกันถอดออกเป็นชิ้นๆ
ลำเลียงไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระปฐมเจดีย์
ครั้นนำพระไปไว้ ณ
วัดพระปฐมเจดีย์แล้วจึงได้บอกให้ชาวบ้านรู้ช่วยกันมาทำบุญฉลองพระพุทธศิลาทวารวดีองค์นั้น
นิมิตของสามเณรบุญจึงลือเลื่องกระเดื่องนามว่าเป็นเลิศด้วย “ญาณ”
ทิพย์จักษุแม้เป็นแค่สามเณรเท่านั้น”
*หมายเหตุ
ตามที่ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตเรื่อง ปีในการสร้างพระอุโบสถสมัยรัชกาลที่ ๔
ซึ่งมีเอกสารจดหมายเหตุระบุปีในการทำรากพระอุโบสถ คือ พ.ศ.๒๔๐๕
และปีที่พระธรรมวโรดม (โชติ) บันทึกประวัติพระศิลาขาวระบุว่าประดิษฐาน พ.ศ.๒๔๐๔
ซึ่งตัวเลขทั้ง ๒ มีความคลาดเคลื่อนไม่ลงรอยกัน
แต่เมื่อพบข้อมูลจากประวัติหลวงปู่บุญ ที่ระบุการเดินทางมาพบพระศิลาขาวใน
“วันเพ็ญเดือนสิบปี พ.ศ.๒๔๐๙” หรือ ขี้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๐๙ ปีขาล
จึงมีความเห็นว่าเป็นไปได้ที่ปีจากบอกเล่าประวัติหลวงปู่บุญนี้อาจเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ด้วยระยะดังกล่าวยังคงเป็นช่วงปลายสมัย ร.๔ ก่อนจะเสด็จสวรรคต ๒ ปีเศษ
(สวรรคตวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑) แต่ก็ยังมิอาจยุติได้
เนื่องจากบันทึกของพระธรรมวโรดม (โชติ) ระบุอีกว่า
ก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชสมบัติ ๗ ปี
ซึ่งพระองค์ทรงครองราชย์ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ และบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๑ เมื่อ ๑๑
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๑ ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ทั้งนี้
หากนับปีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๑๖ ถอยกลับไปถึงปีที่หลวงปู่บุญพบพระศิลาขาว
จะมีระยะเวลา ก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครองราชสมบัติ ๗ ปี
ถูกต้องตรงกัน และข้อสังเกตอีกประการ คือ ในสมัย ร.๗
มีการสร้างพระอุโบสถใหม่แทนที่หลังเดิมที่สร้างในสมัย ร.๔
ขณะที่บริเวณพระปฐมเจดีย์มีความเป็นเมืองและมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้นมากแล้ว
ยังใช้เวลาในการสร้างนานถึง ๔ ปี (นับจากถวายแบบพระอุโบสถ ถึงประดิษฐานพระประธาน)
จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่พระอุโบสถสมัย ร.๔ ใช้เวลาในการก่อสร้าง ๔ – ๕ ปี
และเสร็จในช่วงเวลาเดียวกับที่พบพระศิลาขาว พ.ศ.๒๔๐๙
จึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธาน ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในช่วง ๒
ปีสุดท้ายปลายรัชสมัย ร.๔
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทวารวดี...คู่บารมีหลวงปู่บุญ
สามเณรบุญ หรือ พระพุทธวิถีนายก ซึ่งชาวนครปฐมมักเรียกท่านว่า หลวงปู่บุญ
นับแต่นั้นมาท่านได้มากราบไหว้บูชาพระศิลาขาวอยู่เสมอมิได้ขาด และในวันเพ็ญเดือน ๑๐
ซึ่งเป็นวันที่ท่านได้พบพระพุทธรูปองค์นี้
ท่านจะนำเครื่องบูชามาสักการะเป็นประจำทุกปี
แม้เมื่อล่วงเข้าวัยชราก็ยังคงปฏิบัติเป็นประจำมิได้ขาด กระทั่งท่านมรณภาพเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๘ แล้ว
ก็ยังคงมีเหตุอัศจรรย์อันเนื่องด้วยพระประธานศิลาขาวนี้เกิดขึ้นแก่พระอาจารย์ใบ
คุณวีโร
ซึ่งมีศรัทธาจะบูรณะศาลาการเปรียญที่สร้างไว้ในสมัยหลวงปู่บุญแต่ติดขัดปัจจัยที่ต้องใช้เป็นจำนวนมาก
กระทั่งต้นปี ๒๕๑๖
หลังจากพระอาจารย์ใบไปอธิษฐานบอกกล่าวต่อหน้ารูปปั้นหลวงปู่บุญและเกิดนิมิตขึ้นว่า
ท่านไปกราบพระพุทธรูปศิลาในพระอุโบสถพระปฐมเจดีย์
ได้พบหลวงปู่บุญนั่งอยู่หน้าพระประธานและมอบก้อนโลหะสีขาวขนาดใหญ่ให้
เช้ารุ่งขึ้นหลังพระอาจารย์ใบกลับจากบิณฑบาตรก็มีญาติซึ่งนานๆ
ครั้งจะมาพบได้เดินทางมาจากวัดใหม่สุคนธาราม
แจ้งว่ามีพระแก่ไปเข้าฝันให้เอาโลหะที่ขุดได้ตอนไถนาที่ ต.ศรีมหาโพธิ์
ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี มาถวายที่วัดกลางบางแก้ว
พระอาจารย์ใบจึงนำก้อนโลหะนั้นไปถวายพร้อมเล่านิมิตและเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นให้หลวงปู่เพิ่มฟัง หลวงปู่เพิ่มจึงสันนิษฐานว่าก้อนโลหะนั้นคงเป็น
“นิมิตรเมือง” ที่ฝังไว้ใจกลางเมืองตั้งแต่ครั้งโบราณเพื่อปกป้องให้อยู่เย็นเป็นสุข
จึงแจ้งให้อาจารย์ใบสร้างพระเครื่องแบบพระประธานในพระอุโบสถตามนิมิตร
เพื่อมอบแก่ผู้ร่วมทำบุญบูรณะศาลาการเปรียญทำให้ศาลาแล้วเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น